รวบสองพี่น้องค้ายาบ้าน้องชายติดคุกมาแล้วสามครั้งไม่เข็ด   

เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2568 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายเตชิต ทรงบุญศาสตร์ นายอำเภอเมืองหนองบัวลำภู ได้สั่งการให้นายอนุชา ภู่เปี่ยมศักดิ์ หัวหน้าชุดปฏิบัติการพิเศษฝ่ายปกครองอำเภอเมืองหนองบัวลำภู



พร้อมกำลัง เข้าจับกลุ่มนายสุริยา ฯอายุ 41 ปี พร้อมของกลางยาบ้า 10 เม็ด,สำเนาเงินล่อซื้อหนึ่งฉบับ,โทรศัพท์มือถือหนึ่งเครื่อง และนายคมเดชฯ อายุ 38 ปี ของกลางยาบ้า 2,081 เม็ด ,โทรศัพท์มือถือหนึ่งเครื่อง และผลตรวจปัสสาวะเป็นสีม่วงทั้งสองคน ที่ตำบลนามะเฟือง อำเภอเมือง จังหวัดหนองบัวลำภู สืบเนื่องชุดปฏิบัติการพิเศษฝ่ายปกครองอำเภอเมืองหนองบัวลำภู ได้รับแจ้งจากสายลับว่านายสุริยาฯอายุ 41 ปี พี่ชาย มีพฤติกรรมจำหน่ายยาบ้าให้กับกลุ่มวัยรุ่น และผู้ใช้แรงงาน



จึงได้ให้สายลับเข้าไปล่อซื้อยาบ้ากับนายสุริยาฯจำนวน 2 เม็ด ในราคา 100 บาท โดยได้ทำบันทึกธนบัตรชนิด 100 บาทไว้ เพื่อใช้ในการล่อซื้อประกอบหลักฐาน พอสายลับส่งสัญญาณเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองฯ จึงเข้าจับกุม และในขณะนั้นนายคมเดชฯ ซึ่งเป็นน้องชาย เห็นพี่ชายโดนจับกุม จึงได้วิ่งไปจะปิดประตูข้างบ้าน เจ้าหน้าที่จึงได้เข้าชาร์จ ตรวจค้นในบ้านและในรถยนต์พบยาบ้าทั้งหมด 2,081 เม็ด ซุกซ่อนอยู่ โดยนายคมเดชฯ ให้การว่ายาบ้าทั้งหมดที่พบเป็นของชายชาวลาว ไม่ทราบชื่อนามสกุลจริง ตนเองจะมีหน้าที่เป็นนักบินไปรับยา และนำยาบ้าไปส่ง โดยจะไปรับอยู่ที่บริเวณริมถนนสายรอบเมืองจังหวัดหนองบัวลำภู



จะมีคนนำมาวางไว้ ล่าสุดไปรับยาบ้ามาเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2568 จำนวน 5 มัด (ประมาณ 10,000 เม็ด) และนำไปขาย(วาง) ให้กับผู้ซื้อที่อำเภอน้ำพอง จ.ขอนแก่น 3 มัด (ประมาณ 6,000 เม็ด) และที่อำเภอสีชมพู 1 มัด(ประมาณ 2,000 เม็ด) โดยตนได้รับค่าจ้างมัดละ 1,000 บาท ส่วนที่เหลืออีก 1 มัดยังไม่ได้ส่งมอบให้ผู้ซื้อ จึงถูกจับกุมเสียก่อน ในโทรศัพท์มือถือที่ได้จากนายคมเดชฯ



พบข้อมูลว่ามีการซื้อขายยาเสพติดกับลูกค้าและกลุ่มผู้เสพทั้งชายและหญิงจำนวนมาก และรับสารภาพว่าเคยติดคุกมาแล้ว 3 ครั้ง ในคดียาเสพติด จากนั้นได้แจ้งข้อกล่าวหาทั้ง 2 พี่น้องว่า เสพยาเสพติดให้โทษประเภทหนึ่งโดยผิดกฎหมาย และจำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภทหนึ่ง(ยาบ้า)โดยการมีไว้เพื่อจำหน่าย โดยฝ่าฝืนกฎหมาย นำส่งพนักงานสอบสวน สภ. เมืองหนองบัวลำภู ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป.



ภาพ/ข่าวและเนื้อหานี้ เพื่อกิจการสื่อมวลชน เป็นการใช้เพื่อประโยชน์สาธารณะ เพื่องานประชาสัมพันธ์ ผู้ต้องหาหรือจำเลยยังเป็นผู้บริสุทธิ์ตราบใดที่ศาลยังไม่มีคำพิพากษาถึงที่สุด”